วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Assignment 10 : Tenses


Assignment 10 : Tenses


Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่า  การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.

Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ

               1.     Present   tense        ปัจจุบัน

               2.     Past   tense              อดีตกาล

               3.     Future   tense          อนาคตกาล

ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ

              1 .   Simple   tense    ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).

              2.    Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)

              3.     Perfect  tense     สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).

              4.     Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).





โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้

Present  Tense

                      [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).

[Present]       [1.2]   S  +  is, am, are  +  Verb  1  ing   +  …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).

                      [1.3]   S  +  has, have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).

                      [1.4]   S  +  has, have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).

Past Tense

                      [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).

[Past]            [2.2]  S  +  was, were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).

                      [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

                      [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).

Future Tense

                      [3.1]  S  +  will, shall  +  verb 1  +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).

[Feature]        [3.2]  S  +  will, shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).

                      [3.3]  S  +  will,s hall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

                      [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด -  เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า). 

                

หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้

              [1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,

1.    ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.   

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).

3.    ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รัก,  เข้าใจรู้  เป็นต้น.

4.    ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).

5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.

6.    ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.

7.    ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.

8.    ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.





[1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.

1.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยคหลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).

2.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปีนี้ .

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้พรุ่งนี้.

*หมายเหตุ   กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจรู้ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.



            [1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.

1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense

4.    ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุด)  เป็นต้น.







   [1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.

*  มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.



             [2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดิน แล้ว.

1.   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year  เป็นต้น.

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.

4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1]  ด้วย.



        [2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำลังเดินแล้ว

1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  { 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.

2.     ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.

3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืดเช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.



         [2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.

1.    ใช้กับ เหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.

เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.

2.     ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.



        [2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.

           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1  ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1  ชั่วโมง.







  [3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.

              ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.

           * Shall   ใช้กับ     I    we.

             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.

             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญาข่มขู่บังคับตกลงใจแน่วแน่.

             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.

             Be  going  to  (จะ)  ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น  ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.



       [3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะ เดิน.

1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).

2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.

               -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.

                -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .





        [3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.

1.  ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็น ต้น.

2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.

              -      เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.

-         เกิด ที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .



        [3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.

          ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.

           *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.





Credit.

http://marujo2524.igetweb.com/?mo=3&art=570356

http://blog.eduzones.com/yimyim/3416

Conjunction (คำสันธาน)


Conjunction (คำสันธาน)

                                                                             Conjunction (คำสันธาน)

       คำสันธาน หมายถึง คำศัพท์ที่ใช้เชื่อมคำ (words) กลุ่มคำ (phrases) หรือ ประโยค (sentences) เข้าด้วยกัน โดยคำที่ใช้ conjunction เชื่อมนั้นจะเป็นคำชนิดเดียวกัน
หรือคำที่คล้ายกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

and                         but                          or                            that
for                          also                         still                          else
because                after                         if                             though
before                    till                            unless                     as
when                      where                     while                      than
since                       only                        

Mr. Krasae and his friends go to school by bus.
คุณกระแสและเพื่อนๆ ไปโรงเรียนโดยรถประจำทาง

My students tried their best but could not past the test.
นักศึกษาของผมได้พยายามทำข้อสอบเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่ผ่าน

He is poor but honest.
เขาจน แต่ซื่อสัตย์

หน้าที่ของ CONJUNCTIONS ใช้เชื่อมคำนาม กับ คำนาม เช่น

Dale and Joy got married.
เดลและจอยได้แต่งงานกัน (and เชื่อมคำนาม 2 คำ คือ Dale และ Joy)

ใช้เชื่อมคำนามกับคำสรรพนาม หรือเชื่อมคำสรรพนาม กับ คำสรรพนาม เช่น

Dale and I go to school by bus.
เดลและผมไปโรงเรียนโดยรถประจำทาง
(and เชื่อม Dale ซึ่งเป็นคำนาม และ ซึ่งเป็นคำสรรพนาม เข้าด้วยกัน)

ใช้เชื่อมคำกริยา กับ คำกริยา เช่น

She eats and drinks.
หล่อนกินและดื่ม(and เชื่อมคำกริยาคือ eats และ drinks เข้าด้วยกัน)

She sat down and cried.
หล่อนนั่งลงแล้วร้องไห้ (นั่งร้องไห้)

ใช้เชื่อมคำคุณศัพท์ และ คำคุณศัพท์เข้าด้วยกัน เช่น

I have a black and white television set at home.
ผมมีทีวีขาวดำเครื่องหนึ่งที่บ้าน
(andใช้เชื่อมคำคุณศัพท์ black และ white เข้าด้วยกัน)


                                 
               
Ladda has a black and white cat at home.
ลัดดามีแมวสีขาวดำที่บ้านตัวหนึ่ง

ใช้เชื่อมคำกริยาวิเศษณ์ กับ คำกริยาวิเศษณ์เข้าด้วยกัน เช่น

He works diligently and patiently.
เขาทำงานอย่างขยันและอดทน
(and เชื่อมคำกริยาวิเศษณ์ diligently และ patiently เข้าด้วยกัน)

She reads slowly and carefully.
ฟหล่อนอ่านช้า ๆ และระมัดระวัง

ใช้เชื่อมวลี กับ วลี เข้าด้วยกัน เช่น

Dale went across the fields and into the woods.
เดลได้เดินข้ามสนามหญ้าและมุ่งตรงเข้าไปในป่า
(and ใช้เชื่อม วลี across the fields และ into the woods เข้าด้วยกัน)

ใช้เชื่อมอนุประโยค (clauses) หรือ ประโยค (sentences) เข้าด้วยกัน เช่น

Although she is not beautiful, she wants to be a film star.
แม้ว่าหล่อนจะไม่สวยแต่หล่อนอยากเป็นดาราภาพยนตร์
(Although เชื่อมอนุประโยคเข้าด้วยกัน)

KINDS OF CONJUNCTIONS (ชนิดของคำสันธาน)

Conjunction สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้
correlative conjunction
compound conjunction
coordinating conjunction
subordinating conjunctions

CORRELATIVE    CONJUNCTIONS

Correlative Conjunction  คือ คำสันธานที่ถูกนำมาใช้เป็นคู่ๆ (pair) มีดังนี้

either...or               neither...nor          both...and
not only...but also                not…but               though...yet
whether...or          such...as as…so
so...as     so...that  such...that
as… as   hardly…when      no sooner...than
scarcely...when                    
****************************************************************************************************
Conjunctions                       
ชนิดคำสันธาน (Types of Conjunctions) มี 3 ชนิด คือ
   1. Coordinating Conjunctions คำสันธานเชื่อมคำในประโยค
    เนื้อความสำคัญเท่ากัน ทำให้ข้อความนั้นเกิดเป็น Compound Sentence คือ อเนกัตถประโยคทันที

    2. Subordinating Conjunctions คำสันธานเชื่อมอนุประโยคกับประโยค
    มีเนื้อความสำคัญไม่เท่ากัน เพื่อแสดงเหตุผล วัตถุประสงค์ เงื่อนไข ฯลฯ
    ทำให้ข้อความนั้นเป็น Complex Sentence ทันที

    3. Corrective Conjunctions คำสันธานที่ใช้เชื่อมเป็นคู่ๆ
    เพื่อเพิ่มความหรือเพื่อเลือกความหมายของประโยคให้สมบูรณ์

2.1 Coordinating Conjunctions คำสันธานเชื่อมคำในประโยคมีความสำคัญเท่าๆ กัน
       ได้แก่ and…but ( และ...แต่ว่า) however ( อย่างไรก็ตาม) therefore ( เพราะฉะนั้น) while ( ในขณะนั้น)
both…and ( ทั้งสองและ) also…too ( เช่นเดียวกัน) as well as ( เท่ากัน) not only but…also ( ไม่เพียงแต่ว่า)
either…or ( อย่างใดอย่างหนึ่งในสอง...) neither…nor ( ไม่...ทั้งสอง)

And: I was tired and hungry when I arrived home.

    ฉันเหนื่อยและหิว เมื่อกลับถึงบ้าน

Both..and: She is both pretty and clever. เธอทั้งสวยและฉลาด

    Jim both dances and sings. จิมทั้งเต้นรำและร้องเพลง.

    He likes both English and French.

    เขาชอบภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส

    She teaches English. He teaches English.

    = Both She and he teach English.

    เธอและเขาทั้งสองสอนภาษาอังกฤษ

Or: I'd better do it today or the boss will be upset.

    ( มิฉะนั้น)(ฉันควรทำวันนี้ มิฉะนั้นเจ้านายจะโกรธ)

But: We ran to the station. We missed the train.

    We ran to the station but missed the train.

    ( พวกเราวิ่งไปสถานี แต่พลาดรถไฟ)

    She saw me yesterday. I didn't greet her.

    She saw me yesterday but I don't greet her.

    ( เธอพบฉันเมื่อวานนี้ แต่ฉันไม่ได้ทักทายเธอ)

Still, yet: ( กระทั่งจนกระทั่งยัง)

    Santi is very rich. He is very unhappy.

    = Santi is very rich, yet , still , very unhappy.

    ( สันติร่ำรวย แต่ยังไม่มีความสุข)

Whereas, While ( ด้วยเหตุในขณะ)

    Benja is clever while , ( whereas ) her brother is quite active.

    ( เบ็ญช์เป็นคนฉลาด ขณะเดียวกันพี่ชายของเธอค่อนข้างคล่องตัว)

  Either…or: ด้วย...หรือ, ทั้ง....ด้วย

    You must tell him truth. I must tell him truth.

    = Either you or I must tell him truth.

    ( ทั้งคุณหรือฉันต้องบอกความจริงแก่เขา)

    Either you'll leave my house or I'll call the police.

    คุณจะต้อง ออกจากบ้านฉันหรือมิฉะนั้นจะเรียกตำรวจ

    You apologize. I'll never speak to you again.

    = You apologize or I'll never speak to you again.

    ( คุณจะต้องขอโทษ มินั้นฉันจะไม่พูดกับคุณอีก)

Neither…nor ทั้ง...ไม่

    The businessman will neither spend his money nor invest it.

    ( ชายนักธุรกิจคนนั้นทั้งจะไม่ใช้เงินหรือลงทุน)

    The Buddhist monks neither smoke nor drink beer.

    ( พระในพุทธศาสนาทั้งจะไม่สูบบุหรี่หรือไม่ดื่มเบียร์)

Otherwise, else: มิฉะนั้น , However: อย่างไรก็ตาม , so: ดังนั้น

    You must apologize me, otherwise I will punish you.

    ( คุณจะต้องขอโทษฉัน มิฉะนั้นฉันจะลงโทษคุณ)

    You must hand in your report by Monday. You will get on F.

    = You must hand in your report by Monday Otherwise , you

    will get on F. คุณจะต้องส่งงานภายในวันจันทร์มิฉะนั้น คุณจะติด F

However : He tried hard. He was unsuccessful.

    = He tried hard; however he was unsuccessful.

    ( เขาพยายามหนักถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ)

So: She has worked hard, so she will pass the exam.

    ( เธอขยัน ดังนั้นเธอจะต้องผ่านการสอบ)


Conjunction คำสันธาน
 คำสันธานคือ คำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน
1. Coordinate Conjunction      คำสันธานเชื่อมข้อความเสมอกัน
Coordinate Conjunction คือ คำสันธานที่ใช้เชื่อม ประโยคเข้าด้วยกันในลักษณะเสมอกัน คือถ้าแยกแต่ละข้อความออกจากกันยังมีความหมายเป็นที่เข้าใจได้
แบบคล้อยตาม
 คำสันธาน
 ตัวอย่าง



 And และ

He is tall and handsome
เขาทั้งสูงและรูปหล่อ 



 And also และยังอีกด้วย

 Jim is tired and also hungry
จิมทั้งเหนื่อยและหิว



 And…too และ… ด้วย

 Ladda was beautiful and wise too
ลัดดาทั้งสวยและเก่งด้วย



 As well as และ

 Dang as well as Somsak are the leaders
แดงและสมศักดิ์เป็นผู้นำ



And…also และยัง… อีกด้วย 

 I am tired and sleepy also
ฉันทั้งเหนื่อยและง่วงนอนอีกด้วย



 Both…and ทั้ง… และ

 Suriya likes to eat both rice and bread
สุริยะชอบกินทั้งข้าวและขนมปัง



 Not only…but also ไม่เพียงแต่ แต่ยังอีกด้วย



 Jane can speak not only English but alsoJapanese.
เจนไม่เพียงแต่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่ยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้อีกด้วย








แบบขัดแย้งกัน
คำสันธาน                              ตัวอย่าง
 But แต่



Aran likes football but his wife likes tennis.
อรัญชอบฟุตบอลแต่ภรรยาเขาชอบเทนนิส 






Yet แม้กระนั้น 



He never worked hard yet he gained all prize.
เขาไม่เคยทำงานหนัก แม้กระนั้นเขาก็ได้รางวัล 






 While ในขณะที่



You like Pepsi while I like coke
คุณชอบดื่มเป๊ปซี่ในขณะที่ฉันชอบดื่มโค้ก






 Still แต่กระนั้น



The pain was bad, still she didn’t complain.
บาดเจ็บหนักมาก แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยบ่น 






Whereas ในขณะนี้


 I like Pepsi, whereas the others hate it.
ฉันชอบดื่มเป๊ปซี่ ในขณะที่คนอื่นๆเกลียด






 Nevertheless แม้กระนั้น



Suda had no income; nevertheless she went on working.
สุดาไม่มีรายได้ แม้กระนั้นเธอก็ยังคงทำงานต่อไป 






แบบให้เลือก
Or                   หรือ
Or else        มิฉะนั้น
Either…or  ไม่ก็
Neither…. Nor     ไม่ทั้งและ
คำสันธาน                              ตัวอย่าง
 Or


 Would you like tea or coffee?
       คุณจะรับชาหรือกาแฟ






 Or else


The man must breathe, or else he will die.
       คนเราต้องหายใจ มิฉะนั้นจะต้องตาย 






 Either… or


You can take either this book or that one.
คุณจะเอาหนังสือเล่มนี้หรือเล่มนั้นก้ได้ 






 Neither….nor


I like neither Ladda nor Lalita.
ฉันไม่ชอบทั้งลัดดาและลลิตา 






แบบเป็นเหตุผล
So                         ดังนั้น
For                       เพราะว่า
Therefore              ดังนั้น
Accordingly                   ดังนั้น

คำสันธาน                            ตัวอย่าง
So


 You look tired so you should stop working
คุณดูเหนื่อย ดังนั้นคุณควรจะหยุดการทำงาน






For


She is very sad, for she has no money
เธอดูเศร้ามาก เพราะว่าเธอไม่มีเงิน







Therefore


He had a toothache, therefore he didn’t go to work.
เขาปวดฟัน ดังนั้นเขาจึงไม่ไปทำงาน






Accordingly


I was sick, accordingly I didn’t go to school.
ฉันป่วย ดังนั้นฉันจึงไม่ไปโรงเรียน






Subordinate Conjunction
 Subordinate conjunction คือ สันธานที่ใช้เชื่อม ประโยคที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน ประโยคที่อยู่หลังคำสันธานชนิดนี้จะเป็นประโยครอง ไม่สามารถแยกไปอยู่ตามลำพังได้ แบ่งออกเป็น กลุ่ม
1.               สันธานแสดงสถานที่
2.               สันธานแสดงเวลา
3.               สันธานแสดงเหตุผล
4.               สันธานแสดงวัตถุประสงค์
 สันธานแสดงสถานที่
ได้แก่ Where ที่ซึ่ง, wherever ที่ใดก็ตาม
คำสันธาน                             ตัวอย่าง
Where 

He will go to the school where his son learns.
 เขาจะไปโรงเรียนที่ลูกชายของเขาเรียนอยู่






 Wherever

Araya will live wherever he lives
อารยะจะอยู่ที่ใดก็ตามที่เขาอยู่ 







สันธานแสดงเวลา
สันธาน                           ตัวอย่าง
After  หลัง


 She slept after you have left her home.
เธอนอนหลับหลังจากคุณออกจากบ้านของเธอ





 Before  ก่อน

Poke finished homework before you saw him.
พกทำงานบ้านเสร็จก่อนที่คุณจะพบกับเขา





 During  ระหว่าง

Vicha is sleeping during you are swimming.
วิชากำลังนอนหลับในระหว่างคุณกำลังว่ายน้ำ





 Until  จนกระทั่ง

He would be there until she gets home.
เขาจะอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเธอมาถึงบ้าน





 When  เมื่อ

I was swimming when he was shot.
ฉันกำลังว่ายน้ำอยู่เมื่อเขาถูกยิง





 Whenever เมื่อใดก็ตาม

She will cry whenever you leave her.
หล่อนจะร้องไห้เมื่อใดก็ตามที่คุณทิ้งเธอ 





 As long as ตราบเท่าที่

I will love you as long as you love me.
ฉันจะรักคุณตราบเท่าที่คุณรักฉัน





 Since  ตั้งแต่

Somsri was sick since she has stayed here.
สมศรีป่วยตั้งแต่เธอมาพักอาศัยอยู่ที่นี่





คำสันธานแสดงเหตุผล
คำสันธาน                     ตัวอย่าง
 Because  เพราะว่า

He had a stroke because he didn’t relax.
เขาเป็นลมเพราะว่าเขาไม่ได้พักผ่อน





Since เนื่องจาก

She was sick since she has worked too hard.
เธอป่วยเนื่องจากทำงานหนักเกินไป





 Though ถึงแม้ว่า

I won’t love her though she is beautiful.
ผมจะไม่รักเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะสวย






Although  ถึงแม้ว่า

Ladda won’t help although he requests her.
ลัดดาจะไม่ช่วยถึงแม้ว่าเขาจะขอร้อง





 Why เพราะเหตุใด

I don’t know why she hates me.
ผมไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงเกลียดผม





 How  อย่างไร

She knows how he loves her.
เธอรู้ว่าเขารักเธออย่างไร





If ถ้า หรือ หาก 

Dang won’t praise her if he knows the truth.
แดงจะไม่ยกย่องเธออีกต่อไปถ้าเขารู้ความจริง





 Whether หรือไม่

He doesn’t know whether she will come.
เขาไม่รู้ว่าเธอจะมาหรือไม่





คำสันธานแสดงวัตถุประสงค์
คำสันธาน                       ตัวอย่าง
 That  เพื่อว่า

He works hard that she would love him.
เขาทำงานหนักเพื่อว่าเธอจะรักเขา





 So that เพื่อที่ว่า

I tried hard so that I will past the exam.
ฉันเรียนหนักเพื่อว่าผมจะสอบผ่าน





 In order that  เพื่อที่ว่า

She came here in order that she might see me.
เธอมาที่นี่เพื่อที่ว่าเธอจะได้พบกับผม 





 As  ตามที่


 He will do as she has told him.
เขาจะทำตามที่เธอบอกเขา






 As if  ราวกับว่า

He acted as if he were the Prime Minister.
เขาแสดงราวกับว่าเขาเป็นนายกรัฐมนตรี





 Lest  ด้วยเกรงว่า

Dang took care of June lest she would suicide.
แดงดูแลจุนด้วยเกรงว่าเธอจะฆ่าตัวตาย